Home » , » หลวงปู่ญาท่านสวน วัดนาอุดม

หลวงปู่ญาท่านสวน วัดนาอุดม

Written By SongStoryz on วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555 | 10:52

หลวงปู่ญาท่านสวน วัดนาอุดม
ท่านพระ ครูอาทรพัฒนคุณ (หลวงปู่ญาท่านสวน ฉันทโร) เกิดในสกุล "แสงเขียว" มีนามว่า "สวน แสงเขียว" บิดาชื่อ นายคูณ แสงเขียว มารดาชื่อ นางผุย แสงเขียว เชื้อสายทางบิดาของท่านเกิดอยู่ที่บ้านสำโรง เชื้อสายทางมารดาของท่านอยู่ที่บ้านนาทม บิดา-มารดา มีอาชีพทำนา ท่านมีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 8 คน
1. นายพูน แสงเขียว
2. นางหนุน พินธุรักษ์
3. นางเข็ม แสงเขียว
4. นางหลวย แสงเขียว
5. พระครูอาทรพัฒนคุณ (หลวงปู่สวน ฉันทโร)
6. นายนวล แสงเขียว
7. นางอ้วน สมเพราะ
8. นางทองสี บุดดี

หลวงปู่ญาท่านสวน ฉันทโร วัดนาอุดมศิษย์เอกพระอาจารย์กัมมัฏฐานแพง วัดสิงหาญ จ.อุบล ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
วันที่ 14 มี.ค. 2549 วงการสงฆ์เมืองอุบลราชธานีได้สูญเสียพระเถระผู้ประพฤติปฏิบัติดีไปอีกหนึ่งรูปนั่นคื อ พระครูอาทรพัฒนคุณ หรือที่เรียกขานกันว่า ?ญาท่านสวน ฉนฺทโร? เจ้าอาวาสวัดนาอุดม อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานี ท่านมรณภาพลงด้วยโรคชราเมื่อเวลาประมาณ 6 โมงเช้า สิริอายุได้ 95 ปี หลวงปู่เกลี้ยง วัดโนนแกดท่านกล่าวว่า ?ตอนนี้ท่านได้เป็นพระอรหันแล้วนะ? แม้แต่เส้นเกศาหรือชานหมาก เมื่อตอนท่านยังไม่ละสังขารก็ยังกลายเป็นพระธาตุ 
ท่านเป็นศิษย์สายสำเร็จลุน และญาท่านกรรมฐานแพง 2 ปรมาจารย์ผู้มีพลังจิตอันลึกล้ำ มีอิทธิปาฏิหาริย์มากมาย เป็นที่เลื่องลือแห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือแถบลุ่มแม่น้ำโขงในอดีต

         ชีวิตตั้งแต่วัยเยาว์ ท่านเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เรียบร้อย สุภาพ อ่อนโยน อุปนิสัย ชอบรักความสงบ มีใจฝักไฝ่ในทางพระพุทธศาสนา มาตั้งแต่เด็กๆ จึงได้เป็นที่รักใคร่ของบิดา มารดาเป็นอันมาก
เมื่อ ท่านเจริญเติบโตขึ้น ชีวิตย่างเข้าสู่วัยรุ่น ท่านเป็นผู้ที่มีความกตัญญูกตเวที ช่วยเหลือการงานของ บิดา มารดา ในการทำไร่ทำนา ด้วยความขยันขันแข็ง ด้วยอุปนิสัยที่ท่านเป็นผุ้ที่มีความสุภาพอ่อนโยนมาตั้งแต่เด็กๆ เมื่อเติบโตขึ้นมา จึงทำให้ท่านเป็นคนทีมีความสุขุม เยือกเน็น นุ่มนวล เป็นผู้ที่มีน้ำใจโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนฝูง อีกทั้งยังมีความเสียสละต่อส่วนรวมเสมอ จึงทำให้ท่านเป็นที่รักใคร่ ของเพื่อนฝูง และบุคคลทั่วไป
จะ ด้วยบุพกรรมเก่าที่ท่านเคยสร้างสมมาเมื่อครั้งในอดีต ก็มิอาจจะทราบได้ ท่านกลับไม่มีความลุ่มหลง นิยมชมชอบ หรือจรรโลงใจกับชีวิตแห่งการครองเพศฆราวาสอันหาแก่นสารไม่ได้ จึงทำให้ท่านเกิดความเบื่อหน่าย จริตของท่านกลับนิยมชมชอบในสีลาจารวัตรอันสมถะเรียบง่ายของพระภิกษุสงฆ์ใน บวรพระพุทธสาสนา
ท่านมี ความครุ่นคิดที่อยากจะออกบวช แต่ด้วยความเกรงใจและสำนึกในพระคุณของบิดามารดา ท่านจึงต้องอยู่ช่วยงาน บิดามารดาทำไร่ทำนา เพื่อแสดงความความกตัญญู ตอบแทนพระคุณบิดามารดา เมื่อย่างเข้า 20 ปีบริบูรณ์ ท่านจึงตัดสินใจกราบอ้อนวอนบิดามารดา เพื่อแสวงหาสัจธรรม ปรากฏว่าบิดามารดาของท่านปราบปลื้มปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพาะความจริงแล้ว บิดามารดาของท่านก็มีความประสงค์ที่จะให้ท่านออกบวชอยู่แล้ว
เข้า ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ ครั้นเมื่อวันที่ 30 พฤษถาคม พุทธศักราช 2473 ท่านจึงได้ตัดสินใจ เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ ในบวรพระพุทธสาสนา ณ. วัดนาอุดม บ้านนาทม ต.คำหว้า อ.พิบูลมังสาหาร (ในขณะนั้น) โดยมีพระอธิการพรมมา วัดบ้านระเว ต.ทรายมูล (ปัจจุบัน ต.ระเว) อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี เป็นอุปัชฌายะ พระดีเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระบัวเป็นพระอนุสาวนาจารย์ "ฉันทโร" ซึ่งแปลว่า สำเร็จเป็นพระภิกษุวฃสงฆ์ในเวลา 18.08 น.

       เมื่อ ท่านอุปสมบทเป็น พระภิกษุสวน ฉันทโร แล้ว ท่านได้พำนักและศึกษาเล่าเรียนธรรมะ ฝึกฝนสวดมนต์ และปาติโมกข์ อยู่ในสำนักของเจ้าอธิการส่วนซึ่งในขณะนั้นท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดนาอุดม ซึ่งสมัยนั้นวัดนาอุดม นับเป็นแหล่งพำนัก และศึกษาธรรมะของพระภิกษุสามเณร จำนวนมาก ท่านได้ศึกษาธรรมะอยู่ ณ. วัดนาอุดมเป็นเวลา 3 ปี จากนั้นท่านจึงย้ายไปศึกษาเพิ่มเติมที่วัดคำหว้าเป็นเวลาประมาณ 3 เดือน
เข้าสู่ร่มกาสาวพักตร์

ครั้น เมื่อวันที่ 30 พฤษถาคม พุทธศักราช 2473 ท่านจึงได้ตัดสินใจ เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ ในบวรพระพุทธสาสนา ณ. วัดนาอุดม บ้านนาทม ต.คำหว้า อ.พิบูลมังสาหาร (ในขณะนั้น) โดยมีพระอธิการพรมมา วัดบ้านระเว ต.ทรายมูล (ปัจจุบัน ต.ระเว) อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี เป็นอุปัชฌายะ พระดีเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระบัวเป็นพระอนุสาวนาจารย์ "ฉันทโร" ซึ่งแปลว่า สำเร็จเป็นพระภิกษุวฃสงฆ์ในเวลา 18.08 น.
เมื่อ ท่านอุปสมบทเป็น พระภิกษุสวน ฉันทโร แล้ว ท่านได้พำนักและศึกษาเล่าเรียนธรรมะ ฝึกฝนสวดมนต์ และปาติโมกข์ อยู่ในสำนักของเจ้าอธิการส่วนซึ่งในขณะนั้นท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดนาอุดม ซึ่งสมัยนั้นวัดนาอุดม นับเป็นแหล่งพำนัก และศึกษาธรรมะของพระภิกษุสามเณร จำนวนมาก ท่านได้ศึกษาธรรมะอยู่ ณ. วัดนาอุดมเป็นเวลา 3 ปี จากนั้นท่านจึงย้ายไปศึกษาเพิ่มเติมที่วัดคำหว้าเป็นเวลาประมาณ 3 เดือนเมื่อ พุทธศักราช 2478 ท่านจึงย้ายไปศึกษาต่อที่วัดสำโรงใหญ่ ซึ่งในสมัยนั้นก็นับว่าเป็นแหล่งศึกษา ธรรมะเช่นกัน ขณะนั้นอาจารย์หม่อนซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของท่านดำรงตำแหน่งเป้นเจาอาวาส พระภิกษุสวนท่านได้ศึกษาวิชามุลกัจจายน์ และวิชาวิปัสสนากรรมฐาน ณ. สำนักแห่งนี้ ท่านเล่าว่า อาจารย์หม่อนท่านเคร่งครัดระเบียบวินัยมาก ผู้ที่จะศึกษาเล่าเรียนที่สำนักแห่งนี้ จะต้องมีความขยันหมั่นเพียร และต้องมีความขยันอดทนเป็นอันมาก พระอาจารย์หม่อนท่านมีอุปนิสัยค่อนข้างดุมาก พระที่คอยอุปัฏฐากรับใช้ท่าน หลายรูปที่ขาดขันติ ขาดความอดทน ทนอยู่ไม่ได้ต้องหนีไปก็มี จนไม่มีใครกล้าจะไปอุปัฏฐากรับใช้ท่าน
        อยู่มาวันหนึ่ง พระอาจารย์หม่อนจึงได้เรียกพระภิกษุสวนเข้าไปพบ และมอบหน้าที่อุปัฏฐากแทนพระที่หนีไป หลวงปู่ญาท่านสวนท่านได้เมตตาเล่าให้ฟังว่า ท่านถูกพระอาจารย์หม่อนใช้งานอย่างหนัก เช่นให้เลื่อยไม้ เพื่อสร้างเสนสนะภายในวัด ท่านทำจนมือไม้แตกหมด เลือดก็ออก ทั้งเจ็บทั้งระบม แต่ก็ต้องทน จะทำอย่างไรได้ เมื่อเป็นคำสั่งของครูบาอาจารย์ บางทีท่านก็ดว่ไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะวันไหน ที่มียาติโยมมากันมาก วันนี้แหละเป็นวันที่ท่านอะไรก็ไม่ถูกใจท่านเอาเสียหมด บางที่ท่านก็จะดุว่าเสียงดัง บางครั้งถึงขนาดอับอายญาติโยมจนจะแทรกแผ่นดินหนี แต่ท่านก็ไม่หนี ท่านบอกว่าจะต้องใช้ขันติ อดทนเป็นอย่างมาก เพื่อต้องการปฏิบัติครูบาอาจารย์

ในด้านพระเวทวิทยาคมนั้นได้ร่ำเรียนมาจากสำเร็จลุน และญาท่านกรรมฐานแพง อดีตเกจิอาจารย์จอมขมังเวทย์แห่งลุ่มน้ำโขง โดยท่านได้มองการณ์ไกลไปข้างหน้าว่า พระเวทวิทยาคมที่ท่านศึกษาอยู่นี้จะเป็นประโยชน์มากแก่การทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาและจ ะได้ช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติโยมและผู้เดือดร้อนในอนาคต ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ท่านมีความขยันหมั่นเพียรศึกษาทางด้านการเจริญสามธิเพิ่มพูนพลัง จิต ควบคู่กับการเรียนวิชาอาคมต่างๆ ส่งผลให้ท่านมีความจำแม่นยำเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว มีการทดสอบจากผู้เป็นอาจารย์จนเป็นที่พอใจ โดยเฉพาะญาท่านกรรมฐานแพง ได้มีเมตตาถ่ายทอดสุดยอดวิชาและเคล็ดลับต่างๆ ให้ท่านจนหมดสิ้น 
ทั้งนี้ วิชาที่ท่านได้ศึกษากับ 2 ปรมาจารย์ดังคือ การสร้างเครื่องรางของขลังต่างๆ เช่น การลงตะกรุด เท่าที่รวบรวมได้มีดังนี้ ตะกรุด 5 กษัตริย์ มีผลทางมหาอุด แคล้วคลาด คงกระพัน,ตะกรุดสายรกพระพุทธเจ้า,ตะกรุดโทน,ตะกรุดกับระเบิด,ตะกรุดอุปคุต,ตะกรุดสาล ิกาตอมเหว่,ตะกรุดหนังกลองแตก เป็นสุดยอดของตะกรุดเมตตา,ตะกรุดไก่ขึ้นรถลงรา (มีผลทางด้านเมตตาค้าขายดีนักแล) ,ตะกรุดเข้าตา ทำจากเงินปากผีเผาวันอังคาร ใส่เข้าใต้เปลือกตาได้เพราะมีขนาดเล็กมาก,ตะกรุดคลอดลูกง่าย 
นอกจากนี้ ยังมีวิชาการทำผ้ายันต์ เสื้อยันต์ การสร้างลูกปะคำโทน(ลูกอม) สร้างรูปนางกวัก,ปลัดขิก,ราหูอมจันทร์,สีผึ้งมหาเสน่ห์,วิชาการเรียกสูตร ลบผงอิทธิเจ ผงปถมัง และผงวิเศษอื่นๆ ,การทำน้ำพระพุทธมนต์ซึ่งมีเคล็ดลับพิสดารมากมาย,วิชาหมากินใจ (หมากินความคิด) เป็นสุดยอดแห่งวิชาเมตตาอีกวิชาหนึ่ง 
และอีกหนึ่งวิชานั่นคือ ?การฝังเข็มดำ? ซึ่งเป็นวิชาสุดยอดทางด้านคงกระพัน ป้องกันศาสตราวุธต่างๆ ซึ่งน้อยคนนักที่จะมีวาสนาได้เรียนและเรียนได้สำเร็จ 
ญาท่านสวนเป็นพระเถระผู้เปี่ยมล้นด้วยเมตตาบารมี บุคลิกลักษณะของท่านน่าเลื่อมใสศรัทธา ใบหน้าเอิบอิ่มยิ้มแย้ม ใครมีทุกข์มาหาจะไม่เคยปฏิเสธ และไม่เลือกชนชั้นวรรณะ อีกทั้งยึดมั่นเคารพในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด มีศีลาจารวัตรงดงาม ชอบบำเพ็ญกุศล ทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม ให้ความเป็นธรรมแก่ศิษยานุศิษย์เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ภิกษุสามเณรถือปรนิบัติตาม จึงทำให้มีลูกศิษย์จำนวนมาก และปรากฏผลงานการสร้างสรรค์ของท่านอยู่ในหลายสถานที่ สำหรับเรื่องพุทธคุณดีทั้งทางเมตตาค้าขาย และแคล้วคลาดปลอดภัย ซึ่งบรรดาลูกศิษย์ลูกหาประสบกันมาอย่างน่าอัศจรรย์
Share this article :

แสดงความคิดเห็น

 
Support : Creating Website | Johny Template | Mas Template
Copyright © 2012 - 3012. GuidePhibun ไกด์ พิบูลมังสาหาร - All Rights Reserved
Template Created by Creating Website Published by Mas Template
Proudly powered by Blogger